วช. ผลักดันโครงการ “ชุมชนไม้มีค่า” เพื่อเกษตรกรไทย สอดรับนโยบายรัฐใช้ต้นไม้เป็นหลักค้ำประกัน
ตามที่ รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. มีนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานราก จึงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ที่กำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ และอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ป่าไม้ ให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินกรรมสิทธิ์ ไม่เป็นไม้หวงห้าม การทำไม้ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไป เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเห็นผลเร็วขึ้น จึงเตรียมมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรมป่าไม้ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการดำเนินโครงการ “ชุมชนไม้มีค่า” มีเป้าหมาย ให้เกิดชุมชนไม้มีค่า 20,000 ชุมชน ใน 10 ปี มีผลต่อประชาชน 2.6 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนละ 400 ต้น รวมจำนวน 1,000 ล้านต้น จะได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 1 แสนล้านบาทต่อปี
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ได้เตรียมผลักดันโครงการ “ชุมชนไม้มีค่า” อย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดการสนองผลตามนโยบาย โดยมีกลไกการดำเนินงานบูรณาการร่วมกัน 3 เรื่องสำคัญ คือ
1. การผลักดันกฎหมายและมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
2. การเพาะพันธุ์ ขยายพันธุ์ ปลูก และแปรรูป เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการปลูกมีข้อมูลว่าจะปลูกอะไรปลูกอย่างไร และมีพันธุ์ไม้ที่เหมาะสม
3. การส่งเสริมการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ในอังคารนี้ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
นอกจากนั้นยังมีภารกิจสนับสนุนการท่องเที่ยว เยี่ยมชมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจและการประเมินมูลค่า เช่น ต้นสักทอง ต้นมะฮอกกานี ต้นประดู่ ต้นมะขาม ฯลฯ ณ สวนป่าเกษตรห้วยแสนคำ ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์