เดินหน้าโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ส่งเสริมการปลูกปอเทืองสร้างรายได้แทนการทำนา พร้อมเตรียมขนาดพื้นที่เพิ่มในปีการผลิตหน้า
วันนี้ (24 เม.ย.2560) นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ติดตามโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ที่ ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล
จ.อุตรดิตถ์ โดยมี นายพัฒนา อภิญดา ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินอุตรดิตถ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และเกษตรกรให้การต้อนรับ และบรรยายผลการดำเนินโครงการ
อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาการทำนาข้าวอย่างครบวงจร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกษตรกรที่ปรับพื้นที่ทำนาไปปลูกพืชอื่นเพื่อสร้างรายได้แทน กรมพัฒนาที่ดินจึงได้จัดทำโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ และรับซื้อคืนอีกส่วนหนึ่ง สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกและไถกลบเพื่อบำรุงดิน โดยมีพื้นที่เป้าหมายใน 19 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวม 200,000 ไร่ เป็นการปลูกเพื่อรับซื้อเมล็ดพันธุ์คืน จำนวน 50,000 ไร่ ปลูกเพื่อไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน จำนวน 150,000 ไร่ ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 12,477 ราย พื้นที่ทั้งหมด 194,656 ไร่ ในส่วนของจังหวัดอุตรดิตถ์ ถือว่าการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 453 ราย ใน 5 อำเภอ รวมพื้นที่ 5,502 ไร่ แบ่งเป็นไถกลบเป็นปุ๋ย 4,126 ไร่ และซื้อเมล็ดพันธุ์ 1,375 ไร่ โดยในปีการผลิต 2560/2561 จะขยายพื้นที่เป็น 250,000 ไร่
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ ต้นทุนให้ไร่ละ 5 กิโลกรัม รายละไม่เกิน 20 ไร่ และต้องทำการปลูกพืชเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์อย่างน้อย 1 ใน 4 ส่วนของพื้นที่ ซึ่งการสนับสนุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ในส่วนพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ขายเกษตรกรต้องดำเนินการเองทุกอย่างตั้งแต่การไถ รวมถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์ ซึ่งกรมจะรับซื้อคืนในราคา 20 บาท/กก. แต่ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพมาตรฐานตามที่กรมฯ กำหนด กับส่วนที่ 2 ซึ่งปลูกเพื่อไถกลบปรับปรุงบำรุงดินในพื้นที่ กรมพัฒนาที่ดินจะสนับสนุนค่าไถเตรียมดินไร่ละ 500 บาท ค่าไถกลบไร่ละ 500 บาท
ในโอกาสนี้ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ได้ขับรถไถสาธิตการไถกลบปอเทืองเป็นปุ๋ยด้วยตนเอง พร้อมทั้งมอบปัจจัยการผลิต อาทิ อินทรียวัตถุ น้ำหมักชีวภาพ ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
นำรัก สมบัติ (อุตรดิตถ์)
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์ http://www.siamfocustimenews.com