ใช้”พหุวัฒนธรรม”แก้เกม”สังคมเชิงเดี่ยว”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ใช้”พหุวัฒนธรรม”แก้เกม”สังคมเชิงเดี่ยว”ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

 
จำไม่ได้ว่า ในการแก้ปัญหาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่าง”สันติสุข” ของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการใช้นโยบายของ”พหุวัฒนธรรม”เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้าง”สันติสุข” ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงแต่จำได้ว่าในอดีต ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) น่าจะเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ชูคำว่า”พหุวัฒนธรรม” มาใช้ ในขณะที่ในยุคที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็น ผบ.ทบ. และเป็น นายกรัฐมนตรีนั้น มีคำพูดที่ใช้ในการสร้าง “สันติสุข” ในสังคม”ปลายด้ามขวาน”ว่า”ดอกไม้หลากสี” ใน แจกันเดียวกัน นั่นก็หมายถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบ”พหุวัฒนธรรม” ซึ่งหมายถึงการอยู่ร่วมกันของคนต่าง”ศาสนา” ต่าง”ชาติพันธุ์” ในลักษณะของการ”แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” นั่นเอง
ซึ่งยอมรับว่า ในอดีตก่อนปี 2547 นั้นนโยบายของ”พหุวัฒนธรรม” สามารถที่จะสร้าง”สันติสุข” ให้เกิดขึ้นได้จริงในหลายพื้นที่ พี่น้องชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิม มีการอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน นักเรียน นักศึกษา เรียนหนังสือในโรงเรียนเดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างไม่”แปลกแยก” ยกเว้นในเรื่องของ”ศาสนกิจ” เท่านั้น ที่ต้องต่างคนต่างทำ


แต่หลังเหตุการณ์ความไม่สงบละลอกใหม่ในปี 2547 เป็นต้นมา ความหวาดระแวง ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างกันในพื้นที่ ทวีความรุนแรงมากขึ้น การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นยาวนานถึง 13 ปี ได้สร้างความ”หวาดระแวง”ระหว่างคนในพื้นที่ จนกลายเป็น”ช่องว่าง” ระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างๆ และหลายๆสังคม หลายๆชุมชน ที่ไทยพุทธ และมุสลิม เคยอยู่ด้วยกันอย่างสันติ กลายเป็นต้องแยกกันอยู่ ไม่ทำกิจกรรมร่วมกัน ในขณะที่หลายพื้นที่มองว่า”มุสลิม” คือ “จำเลย” ของความไม่สงบที่เกิดขึ้น
ในส่วนของการศึกษาเอง ก็มีการแบ่งแยกที่เห็นได้ชัด เมื่อเด็ก”มุสลิม” เลือกที่จะเดินเข้าสู่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ตั้งในการเรียนที่”ปอเนาะ” การเรียนในโรงเรียนอนุบาล ที่จัดการเรียนการสอบแบบ”อิสลาม” จนถึงระดับมัธยม และ มหาวิทยายาลัย ที่เป็นของเอกชน ซึ่งจัดการเรียนการสอนในรูปแบบของอิสลามศึกษา


วันนี้ พื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่จึงกลายเป็น”สังคมเชิงเดี่ยว” เช่นเดียวกับการศึกษา ที่นับวันยิ่งมองเห็นชัดถึงการเป็นการศึกษา”เชิงเดี่ยว” ที่ มีการแยกกันเรียนอย่างชัดเจน ระหว่างคน”ไทยพุทธ”กับคน”มุสลิม”
ซึ่ง นี่คือสัญญาณอันตรายที่ก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปลูกฝัง”สังคมเชิงเดี่ยว” และ”การศึกษาเชิงเดี่ยว” เป็นแผนของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่มี”บีอาร์เอ็น” เป็น”แกนนำ”
ซึ่งการที่ บีอาร์เอ็น อยู่เบื้องหลังในการขับเคลื่อนให้เกิด วัฒนธรรม สังคมเชิงเดี่ยว และการศึกษาเชิงเดี่ยว เพื่อ”ขับเคี่ยว” กับการใช้”พหุวัฒนธรรม” ของฝ่ายรัฐบาล เพื่อหวังผลในการ แยกมวลชน และ แย่งชิงมวลชน เพื่อ”บ่มเพาะ” เข้าสู่ขบวนการฯ ในระยะยาว ฝ่ายความมั่นคงได้จับตามองมาแล้วระยะหนึ่ง


ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และ นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้ หน่วยงานความมั่นคง ซึ่งรับผิดชอบในการเป็น”เจ้าภาพ” ในการ สร้างความสงบสุขให้กับ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สร้างความสมัครสมานสามัคคี ระหว่างชาวไทยพุทธและชาวมุสลิม ให้สามารถกลับในสู่สังคมในอดีตนั้นคือการอยู่ร่วมกันในสังคม”พหุวัฒนธรรม” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
และในปัจจุบันเอง ก็ยังมีให้เห็นเป็นประจักษ์ เช่นในภาพที่เห็นซึ่งเป็นงานฉลองอายุวัฒนมงคล ครอบรอบ 79 พรรษา ของพระคุณเจ้า พระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส ณ วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้นำศาสนาอิสลาม และชาวมุสลิม เป็นจำนวนมาก มาร่วมในพิธี ด้วยความ เคารพ ด้วยความ ศรัทธา ซึ่งเป็นอย่างนี้ติดต่อกันมานานปี และไม่เคยจางหาย ตาม สถานการณ์ของความรุนแรง และการ”แบ่งแยก” ที่เกิดขึ้น


เช่นเดียวกับภาพของ อิหม่านสุกรี อิหม่ามมัสยิดเมืองใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา กับ หลวงพ่อวัดลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา ที่เป็น”สหาย”ต่าง”ศาสนิก” ช่วยเหลือ เกื้อกูล กัน โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกของการเป็น ผู้นำศาสนา ที่ต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว “ศาสนา” ที่ต่างกัน ไม่ใช่เครื่อง”ขวางกั้น” มิตรภาพที่งดงามแต่อย่างใด
โดยข้อเท็จจริง วัด และ มัสยิด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืนในสังคม”พหุวัฒนธรรม” เพียงแต่ เจ้าอาวาส และ โต๊ะอิหม่าม ก้าวข้ามเส้นแบ่ง ที่สร้างขึ้นเอง และนำเอา”แบบอย่าง” ที่เห็นได้ชัดของเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส และที่อื่นๆ ซึ่งยังมีให้เห็นอยู่ จำนวนหนึ่ง ถึงการที่ ผู้นำศาสนา ทั้งสองศาสนา หรืออาจรวมทั้งศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่ ในการสร้างสังคม”พหุวัฒนธรรม” ให้เป็นแบบอย่าง


เพราะหากมีการเริ่มต้นที่ ผู้นำศาสนา ซึ่งคนส่วนใหญ่จะให้ความ เคารพ ให้ความเชื่อถือ ในความเป็นผู้นำด้าน “จิตวิญญาณ” ก็จะเป็นแบบอย่างให้ในส่วนของภาคประชาสังคม”ก้าวตาม” โดยปราศจากข้อสงสัย ตามข้อ”บิดเบือน”ทางศาสนาที่ ผู้นำศาสนา และ อุสตาส” ในขบวนการบีอาร์เอ็น ได้โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อทำลายสังคม”พหุวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นสังคมของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในอดีตของ คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้


ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม และหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้มีการ”เน้นย้ำ” ให้ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการดับ”ไฟใต้” ผลักดันแนวทางการใช้”พหุวัฒนธรรม” เพื่อสร้างความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน ของคนในพื้นที่ โดยขจัดความ”หวาดระแวง” และความ”แปลกแยก” ให้หมดไป เพื่อเป็นการทำลาย”สังคมเชิงเดี่ยว” ที่ขบวนการ บีอาร์เอ็น สร้างขึ้นมา เพื่อใช้”ครอบงำ” ชาว มุสลิม เพื่อ ต่อสู้กับ รัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่


ที่ผ่านมา ผู้หลักผู้ใหญ่จากส่วนกลาง อาจจะไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องของ”สังคมเชิงเดี่ยว” ที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเวลาที่ พวกท่านเดินทางมา ตรวจงาน มาเปิดงานประเพณีต่างๆนั้น จะพบเห็นภาพ”ลวงตา” ที่ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่”จัดฉากขึ้น ด้วยการใช้งบประมาณตั้งแต่ 500,000-1,000,000 บาท ในการนำผู้คนเข้ามาทำกิจกรรม เพื่อสร้างภาพของ”พหุวัฒนธรรม” ให้เห็นว่า ประชาชนทั้ง 2 ศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา จึงทำให้ เสนาบดี ที่มาจาก ส่วนกลาง เข้าไม่ถึง มองไม่เห็นข้อเท็จจริงของการเกิดขึ้นของ”สังคมเชิงเดี่ยว” หรือ”วัฒนธรรมเชิงเดี่ยว ซึ่งเป็น อันตรายอย่างยิ่ง กับการคงอยู่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้


การที่ นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจ และมีนโยบายในการผลักดันการใช้แนวทาง”พหุวัฒนธรรม” เพื่อสร้างความ”ปรองดอง” สมัครสมานสามัคคี ระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ในถิ่นเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่”ศาสนา” และ”ชาติพันธุ์”และในอดีตท่านผ่านมา ก็อยู่ร่วมกันอย่าง “สันติสุข” จึงเป็น แนวทาง ที่ถูกต้อง เพราะการดับ”ไฟใต้” จะได้ผลหรือไม่”ปัจจัย” สำคัญที่สุดอยู่ที่ คนในพื้นที่ ต้องเข้าใจกัน และอยู่ร่วมกันได้โดย ไม่”หวาดระแวง” และ”แบ่งแยก” เป็นฝักเป็นฝ่ายแต่จะทำได้แค่ไหน ไมได้อยู่ที่ นโยบาย เพียงอย่างเดียว แต่หน่วยงานผู้ปฏิบัติ ต้องมีความ ตั้งใจ จริงจัง จริงใจ ไม่ใช้ทำกันแบบ”ผักชีโรยหน้า ที่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์   http://www.siamfocustimenews.com

Related posts