รวบตัวแล้วหนุ่มกู้ภัยอารมณ์ร้อนถือปืนลงมาตบคู่กรณี
หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ กรณีที่มีชายขับรถกระบะ เกิดมีปากเสียงกับรถคู่กรณี จากนั้นได้ถือปืนลงมาจากรถ ก่อนที่จะใช้มือตบไปที่ใบหน้าของคู่กรณี แล้วแยกย้ายไปนั้น วันนี้ 29 ส.ค. 60 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยได้เดินทางไปพบนายวัชรชัย ดอนทอง อายุ 33 ปี พร้อมทั้งเพื่อนร่วมงานของกลุ่มผู้ที่ถูกทำร้าย นายวัชรชัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 60 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 09.30 น. ตนเองพร้อมด้วยเพื่อนร่วมงานได้ออกไปทำการตัดสัญญาณเคเบิ้ล บริเวณซอยตรอกขจร ข้างห้างบิ๊กซีปราจีนบุรี เมื่อเสร็จจากภารกิจ จึงได้เตรียมเดินทางกลับ โดยใช้รถกระบะ ซูซูกิ แครี่ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฒพ-902 กทม. และได้ถอยหลังเพื่อที่จะกลับรถบริเวณช่องทางออกของห้างบิ๊กซี ระหว่างนั้นได้มีรถยนต์กระบะ มิตซูบิชิ สตราด้า สีดำ หมายเลขทะเบียน บท-1479 ปราจีนบุรี ซึ่งมีลักษณะเป็นรถอาสากู้ภัยในจังหวัดปราจีนบุรี ขับพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว และมีการจอดรถขวางกันอยู่ ตนเองพร้อมด้วยเพื่อนที่นั่งมาด้วยกันด้านหน้าจึงได้ลงรถไป เพื่อที่จะขอโทษ และขอให้ขยับรถออก โดยได้ทำการบันทึกภาพวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย และสิ่งที่ไม่คาดคิดกลับกลายเป็น อีกฝ่ายหนึ่งได้ลงจากรถมาในมือซ้ายถือปืนพกสั้นลงมาด้วย ตนเองจึงรีบบอกว่าไม่ได้มีอะไร จะลงมาขอโทษเฉยๆ แต่คู่กรณีกลับตบเข้าที่ใบหน้า 3 ครั้ง ก่อนที่จะตะโกนใส่ว่า “มึงนักเลงหรอ” ระหว่างนั้นมีชาวบ้านเข้ามาห้ามปราม ก่อนที่ตนเองจะเดินกลับไปขึ้นรถ และเดินทางมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สภ.เมืองปราจีนบุรี เพื่อให้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษ และส่งคลิปวิดีโอให้เพื่อนดู จึงทำให้มีผู้นำคลิปวิดีโอไปแชร์ต่อๆกันบนโลกออนไลน์
กระทั่งวันที่ 29 ส.ค. 60 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก พ.ต.อ.ประสาน แก้วมหาสุริวงษ์ ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี ว่าผู้ต้องหา คือนายพงษ์พร อรุณเจริญ อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 60/236 หมู่ 2 ต.ดงพระราม อ.เมืองปราจีนบุรี ได้ติดต่อขอมอบตัว ในเวลา 09.00 น. พร้อมทั้งรับสารภาพว่าได้ทำร้ายผู้กล่าวจริง และหลังเกิดเหตุได้นำอาวุธปืนพกที่ก่อเหตุ ไปเก็บไว้ที่บ้านของนางกัลยา อรุณเจริญ ซึ่งเป็นญาติกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปตรวจค้น ที่บ้านเลขที่ 462 ซอย ส.เทคนิค ถ.ราษฎรดำริ ต.หน้าเมือง อ.เมืองปราจีนบุรี โดยสามารถตรวจยึดอาวุธปืน และกระสุนปืนของกลางที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้าภายในบ้าน เป็นอาวุธปืนพกกึ่งออโตเมติก ขนาด 9 มม. ยี่ห้อบาร์เรตต้า มีทะเบียน จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 6 นัด โดยผู้ต้องหายอมรับว่าใช้ในวันที่ก่อเหตุจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดปืน และเครื่องกระสุนไว้ ส่งพนักงานสอบสวนและดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา หลังจากนั้นจึงได้ทำการตรวจสอบรถยนต์ของผู้ต้องหา พบว่ามีการติดสัญญาณไฟวับวาบบริเวณด้านบนโดยไม่ได้ขออนุญาต แต่ข้างรถได้ทำการถอดโลโก้ของมูลนิธิกู้ภัยออกแล้ว จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหารวมทั้งหมด 3 ข้อหา
คือ 1.ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ 2.มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.ติดตั้งสัญญาณไฟวับวาบโดยไม่ได้ขออนุญาต และในเวลาต่อมาได้มีผู้เสียเดินทางเข้าแจ้งความเพิ่มเติมอีก 1 ราย คือ น.ส.ทวีภรณ์ แก้วสว่าง อายุ 29 ปี ซึ่งได้ถูกผู้ต้องหาขับรถชนท้ายในวันที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายให้เรียกประกันเพื่อชดใช้ค่าเสียหาย กลับข่มขู่ด้วยอาวุธปืน และอ้างชื่อผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ก่อนที่จะหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เพิ่มขอกล่าวหาไปอีก 2 ข้อหา คือขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ และข่มขู่ด้วยอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาต
ในส่วนของมูลนิธิ นายกิตติเดช เตชะชนะชัย ผู้จัดการมูลนิธิสว่างบำเพ็ญธรรมสถาน ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ได้ทราบข่าวและดูภาพจากคลิปดังกล่าว ได้มีคำสั่งให้ทำการปลดออกจากการเป็นกู้ภัยในทันที เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎของมูลนิธิ นายพงษ์พร อรุณเจริญ ผู้ต้องหา กล่าวขอโทษผู้เสียหาย และมูลนิธิฯกู้ภัย ตนเองรู้สึกสำนึกผิดที่ทำไม่ดีลงไป เป็นเพราะความเครียดในเรื่องรายได้ เนื่องจากช่วงหลังค้าขายไม่ดี จึงทำให้ตนเองก่อเหตุที่ไม่ดีลงไป ซึ่งก็ยอมรับกับสิ่งที่ได้ทำลงไปทั้งหมด////////
ภาพ/ข่าว ณัฐวัฒน์ กุลเศรษฐ์สุวภา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ปราจีนบุรี
ขอขอบคุณข้อมูลข่าวจาก หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์ http://www.siamfocustimenews.com